และนี่คือ 7 วิธีที่คุณสามารถใช้เพื่อปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานใหม่ และเป็นผู้นำในการนำพาองค์กรเข้าสู่ระบบการทำงานแบบไฮบริดอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์ความคาดหวังของพนักงานและกลุ่มคนที่มีความสามารถที่อาจเข้ามาทำงานให้คุณในอนาคต
ให้ความสำคัญกับวิธีการทำงานที่ยืดหยุ่นของพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด
การเกิดโรคระบาดทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนวิถีการทำงานของเราไปอย่างสิ้นเชิง โดยหัวใจสำคัญของวิถีการทำงานแบบไฮบริดที่ขาดไม่ได้เลยคือ การให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงานเป็นหลัก ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ ผู้นำขององค์กรจำเป็นต้องทำสิ่งต่อไปนี้
การให้อิสระและความไว้วางใจคือสิ่งจำเป็นในการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานที่ทำงานแบบไฮบริดนั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยในทางปฏิบัติ อาจทำได้โดยการใช้แอปพลิเคชันที่ช่วยให้ทำงานจากอุปกรณ์พกพา ซึ่งไม่ใช่แค่สำหรับการเข้าถึงอีเมลหรือปฏิทินเท่านั้น แต่เป็นการสร้างและปรับแต่งแอปพลิเคชันสำหรับกระบวนการในธุรกิจที่สำคัญๆ เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานผ่านอุปกรณ์พกพาได้ทุกที่ทุกเวลา
ลงทุนในเครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงาน
การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแบบไฮบริดจำเป็นต้องมีการลงทุนเพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกันแบบเสมือนจริง (virtual) เพื่อช่วยในด้านการจัดการลำดับงานและความปลอดภัย ทุกวันนี้พนักงานได้ปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีการทำงานระยะไกลแล้ว โดยพวกเขาคาดหวังว่าองค์กรจะดำเนินไปในแนวทางเดียวกันนี้ และนำพาพวกเขาไปสู่เทคโนโลยีที่เน้นผู้ใช้งานเป็นสำคัญ ไม่ได้มีแค่ช่างเทคนิคที่ลงพื้นที่เท่านั้นที่ต้องการอุปกรณ์เพื่อทำงานจากระยะไกล แต่พนักงานของคุณก็อาจต้องการการสนับสนุนด้านฮาร์ดแวร์ แอปพลิเคชัน และเทคโนโลยีเพื่อให้พวกเขาทำงานได้สำเร็จลุล่วงเช่นกัน
ลองนึกว่ามีเทคโนโลยีอะไรที่พนักงานของคุณอาจต้องการมากกว่ามือถือหรือโน้ตบุ๊กหรือไม่ เวลาที่พนักงานต้องเข้าร่วมประชุมทางไกล การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีอยู่นั้นปลอดภัยและเหมาะสมกับงานหรือไม่ กล้องเป็นยังไง คุณภาพของเสียงดีแค่ไหน เป็นต้น แม้ว่าการทำงานระหว่างกันจากทางไกลนั้นอาจไม่ได้ตอบโจทย์การทำงานอย่างสมบูรณ์แบบเสมอไป แต่พนักงานเองก็ควรมีเครื่องมือที่จำเป็นพร้อมสำหรับการใช้งาน โดยกว่า 84% ของพนักงานนั้นอยากได้เครื่องมือดิจิทัลที่ดีกว่าเดิม
ปลูกฝังแนวคิดใหม่ให้กับผู้นำด้านไอทีของคุณ
ความไม่ลงรอยกันระหว่างพนักงานในองค์กรกับแผนกไอทีถือเป็นปัญหาขององค์กรมาช้านาน แม้ว่าองค์กรจะต้องการกำหนดควบคุมการใช้งานซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันให้เป็นไปตามนโยบายที่วางไว้ แต่องค์กรก็ไม่ควรให้นโยบายเหล่านั้นเข้มงวดเกินไปจนเป็นการปิดกั้นโอกาสในการนำเครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาใช้งาน ลองถามพนักงานของคุณว่าอะไรที่เหมาะสำหรับพวกเขา และหากพวกเขาจำเป็นต้องใช้เครื่องมือใหม่ๆ คุณต้องพร้อมที่จะรับฟังและเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาต้องการ
การบังคับแผนกไอทีของคุณให้ควบคุม ใช้งาน และบังคับนโยบายที่ล้าสมัยอาจก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่พนักงานได้ แผนกไอทีควรเป็นส่วนงานที่ทำหน้าที่เสมือนศูนย์บริการลูกค้า ซึ่งลูกค้าเหล่านั้นก็คือพนักงานของคุณนั่นเอง หากคุณไม่ทราบว่าเทคโนโลยีใดที่จะสามารถช่วยเหลือพนักงานของคุณที่ทำงานนอกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ห้องครัว หรือคาเฟ่ได้ ให้ลองสอบถามพวกเขาดู ซึ่งการสร้างกระบวนการ feedback ให้กับพนักงานอย่างเป็นรูปธรรมเช่นนี้จะช่วยให้พวกเขารู้สึกว่ามีคนใส่ใจรับฟังและไม่ถูกทอดทิ้งอีกต่อไป
ส่งเสริมความคล่องตัวโดยไม่ทำลายความปลอดภัยของข้อมูล
ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวนั้นแยกออกจากกันได้ยากขึ้น การให้พนักงานสามารถนำอุปกรณ์ของตัวเองมาใช้ในการทำงาน หรือให้ใช้งานอุปกรณ์ของบริษัทซึ่งตั้งค่าให้สามารถใช้งานส่วนตัวได้ด้วยนั้นพิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นและมอบความไว้วางใจให้กับพนักงานได้ แต่ทั้งนี้จะต้องไม่ลืมความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้วย โดยข้อกังวลหลักๆ ในการทำงานแบบไฮบริดคือความเสี่ยงด้านไซเบอร์ที่เพิ่มสูงขึ้น จากการที่ให้พนักงานสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้หลายเครือข่าย บนอุปกรณ์ที่หลากหลายได้ทุกที่ทุกเวลานั่นเอง
เพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าว คุณอาจมอบหมายให้ทีมไอทีของคุณช่วยจัดการด้านความปลอดภัย และจัดอบรมการใช้งานซอฟต์แวร์ให้กับพนักงานเพื่อปกป้องอุปกรณ์และข้อมูลของพวกเขา การทำเช่นนี้อาจเป็นเรื่องยาก แต่การรักษาความปลอดภัยนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่อาจมองข้ามได้เช่นกัน ทำให้พนักงานของคุณเห็นว่าการส่งเสริมความปลอดภัยนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางบวกซึ่งจะเป็นประโยชน์กับตัวพนักงานเอง
ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยโดยเฉพาะสุขภาพจิต
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า สุขภาพและความปลอดภัยนั้นถูกจัดให้อยู่อันดับ 1 ใน 5 ของสิ่งที่พนักงานให้ความสำคัญ และนายจ้างกว่า 86% ก็เริ่มวางแผนในการเสริมสร้างความปลอดภัยในที่ทำงานแล้ว ไม่ว่าคุณจะอยู่ในธุรกิจใด นโยบายด้านสุขภาพและความปลอดภัย รวมถึงกระบวนการในการปกป้องพนักงานและลูกค้านั้นเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลย ซึ่งความปลอดภัยในที่นี้ไม่ใช้แค่เรื่องของสุขอนามัยหรือสภาพแวดล้อมที่ดีในที่ทำงานเท่านั้น ไม่ว่าพนักงานของคุณจะทำงานจากที่ใดก็ตาม คุณยังคงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยให้กับพนักงานของคุณเช่นเดิม
เราต่างให้ความสำคัญกับสุขอนามัยและสุขภาพของคนในองค์กร อย่างไรก็ตาม ปัญหาอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ และอาจบั่นทอนทำลายสุขภาพของคนในองค์กรได้นั่นก็คือเรื่องของสุขภาพจิต (mental health) ซึ่งการทำงานที่บ้านหรือจากระยะไกลอาจก่อให้เกิดปัญหา 2 ประการคือ การไม่สามารถปลีกตัวออกจากงานได้ และความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว ทั้งนี้ การดูแลด้านสุขภาพจิตของพนักงานนั้นอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
การทำงานที่บ้านอาจทำให้พนักงานบางกลุ่มสามารถดูแลเด็กหรือผู้สูงอายุในครอบครัวได้ ในขณะที่พนักงานบางกลุ่มอาจต้องการเข้าถึงคำแนะนำหรือการขอคำปรึกษาแบบส่วนตัวโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หากธุรกิจของคุณหันมาใส่ใจในเรื่องการยกระดับการดูแลความเป็นอยู่ของบุคลากรให้ครอบคลุมในทุกมิติ แทนที่จะคอยจับตาในเรื่องประสิทธิภาพการทำงานที่ได้จากตัวพนักงานหรือการเข้างานเพียงอย่างเดียว ก็จะถือว่าคุณได้ช่วยส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและความภักดีของพนักงานไปอีกขั้นแล้ว
ลดช่องว่างระหว่างการทำงานทางกายภาพและดิจิทัล
ในการทำงานแบบไฮบริดนั้น แม้ว่าทีมจะทำงานได้ดีเมื่ออยู่ร่วมกันเพียงใด ก็จะมีคนที่ทำงานจากต่างสถานที่อยู่เสมอ ซึ่งอาจทำให้เพื่อนร่วมงานจากทางไกลนั้นไม่สามารถมีส่วนร่วมในการทำงานได้อย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ทำงานด้านความคิดสร้างสรรค์ ที่มักต้องใช้เครื่องมือในการทำงานร่วมกัน เช่น กระดานไวท์บอร์ดและจอแสดงผล คุณจึงควรมองหาวิธีที่จะทำให้พวกเขาเหล่านี้รู้สึกมีส่วนร่วมมากขึ้น และทำให้พนักงานที่ทำงานจากที่อื่นไม่รู้สึกถูกกีดกันออกไป
หนึ่งในวิธีที่สามารถลดช่องว่างนี้ได้คือ การผสานพื้นที่ทำงานทางกายภาพเข้ากับเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน เช่น การเข้าประชุมจากอุปกรณ์ของแต่ละคน รวมถึงเทคโนโลยีที่ใช้ในห้องประชุม การสร้างการทำงานร่วมกันแบบไฮบริดให้เป็นไปอย่างราบรื่นและครอบคลุม สามารถทำได้โดยการวางโซลูชันที่ช่วยให้ผู้คนพูดคุยและมองเห็นกันและกันในห้องประชุมด้วยเครื่องมือที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นไมโครโฟน ลำโพง กระดานที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย และจอแสดงผลสำหรับห้องแต่ละขนาดภายในออฟฟิศ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้งาน และปล่อยให้เทคโนโลยีทำงานอย่างราบรื่นในเบื้องหลัง
เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการอบรมและการพัฒนาทักษะใหม่
การยกระดับทักษะพนักงานและส่งเสริมการพัฒนาในสายงานก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการเปลี่ยนแปลงและการคงประสิทธิภาพการทำงานไม่แพ้กัน ไม่ว่าพนักงานจะทำงานจากที่ใดก็ตาม
เปลี่ยนความคิดที่ว่าการเทรนพนักงานให้เก่งจะทำให้พวกเขาไปเติบโตในที่อื่น เพราะในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้ คุณไม่สามารถรักษาพนักงานทุกคนไว้กับคุณได้ตลอดไป สิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญอย่างแท้จริงคือการช่วยให้ชีวิตการทำงานของพนักงานในแต่ละวันนั้นง่ายขึ้น และคุณก็จะพบว่าพวกเขาจะยังคงอยู่กับคุณต่อไป
ให้เราช่วยคุณเสริมสร้างระบบการทำงานแบบไฮบริดเพื่อคุณ
แหล่งข้อมูลภายนอก
แหล่งข้อมูลแนะนำสำหรับคุณ
เราจะช่วยให้ทุกคนทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น เมื่อทุกคนทำงานต่างสถานที่แบบไฮบริดได้อย่างไร
ปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริงให้กับทีมงานของคุณ มาดูกันว่าในโลกการทำงานแบบไฮบริด โซลูชันเพื่อการทำงานร่วมกันจะช่วยให้ผู้คนที่ทำงานต่างสถานที่กันสามารถสื่อสารระหว่างกัน ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างสรรค์นวัตกรรมร่วมกันได้อย่างไร
วิธีปกป้องสถานที่ทำงานดิจิทัลของคุณจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์
เรียนรู้วิธีปกป้องสถานที่ทำงานดิจิทัลของคุณจากการโจมตีทางไซเบอร์ เพื่อปกป้องข้อมูล ชื่อเสียง และธุรกิจของคุณ
ออกแบบ Hybrid Workplace อย่างไรให้ทำงานได้จริง
เผยกลเม็ดเคล็ดลับในการสร้างสถานที่ทำงานแบบไฮบริดที่ครอบคลุมทุกการทำงานสำหรับทุกคน เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงาน และทำให้พนักงานมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น