ระบบงานอัตโนมัติดีอย่างไร

22 ก.ย. 2564

ในขณะที่เวิร์กโฟลว์ใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนก็เกิดความวิตกกังวลว่ามันอาจจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของงานหรือไม่

รายงานล่าสุดจาก World Economic Forum ระบุว่า ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์จะมาแทนที่งานจำนวน 7 ล้านตำแหน่งในอีกห้าปีข้างหน้า นอกจากนี้การศึกษาจาก Oxford University ยังพบว่า 47% ของงานในสหรัฐอเมริกานั้นสามารถใช้ระบบอัตโนมัติได้

ข้อมูลนี้อาจจะฟังดูน่าตกใจ สำหรับบางคนที่อ่านเพียงผ่านๆ นั้นอาจจะพลาดประเด็นสำคัญ ในขณะที่งานบางตำแหน่งนั้นอาจจะหายไป งานอื่นๆ จะเกิดขึ้นใหม่ และอีกหลายๆ งานจะน่าเบื่อน้อยลงแต่มีความสร้างสรรค์มากขึ้น ในระยะยาวนั้นระบบอัตโนมัติจะช่วยขยายเศรษฐกิจแม้ว่าอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอาชีพ

มีเวลาให้กับการคิดเชิงกลยุทธ์และลูกค้ามากขึ้น

รายงานล่าสุดจาก McKinsey ระบุว่าในขณะที่กระบวนการต่างๆ มีความเป็นดิจิทัลมากขึ้น แต่มีงานจำนวนน้อยมากที่จะใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมด อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในระยะใกล้หรือระยะกลางนี้ ที่จริงแล้วพนักงานจะใช้เวลาน้อยลงหรือไม่จำเป็นต้องเสียเวลาทำงานที่ซ้ำซากจำเจเองเลย และพวกเขาก็จะมีเวลาโฟกัสกับงานที่เกี่ยวกับกลยุทธ์ระดับสูงหรือการประสานงานกับลูกค้ามากขึ้น ประเด็นนี้ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อธุรกิจระดับเล็กถึงระดับกลางที่เจ้าของหรือผู้จัดการถูกดึงไปในหลายทิศทางในเวลาเดียวกัน ระบบอัตโนมัตินี้จะเข้ามาช่วยให้การทำงานนั้นง่ายขึ้นเพราะไม่จำเป็นต้องดูระบบ Backend หรือทำให้เราไม่ต้องเสียเวลากับมันจนมากเกินไป

คุณอาจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้แล้วในแวดวงเช่น การเงิน ที่ซึ่งระบบบัญชีสมัยใหม่ทำให้พนักงานสามารถเอาเวลาไปจดจ่อกับการแก้ปัญหาระดับสูง หรือรับฟังลูกค้าเพื่อเรียนรู้ว่าพวกเขาอยากจะได้บริการใหม่ๆ อะไรบ้างและนำไปพัฒนาธุรกิจ (หรือเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติใหม่ของคุณ)

ที่จริงแล้วระบบอัตโนมัตินั้นช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มผลผลิตอย่างมาก ซึ่งมันจะกลายเป็นตัวสร้างความแตกต่างในการแข่งขันที่สำคัญ รายงานจาก McKinsey กล่าว

งานที่สามารถใช้ระบบอัตโนมัติมาแทนที่ได้ทั้งหมดนั้นมีแนวโน้มว่าจะหายไปสูง คุณอาจไม่เห็นโฆษณาที่ต้องการพนักงานในสายการผลิตจำนวนมาก พนักงานคอลเซนเตอร์ หรือพนักงานบันทึกข้อมูล ในขณะที่อาชีพนายหน้าประกันภัยและผู้จัดเตรียมภาษีที่ต้องจัดการกับงานพื้นฐานนั้นจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ

Artificial Intelligence และ Machine Learning

ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่ Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning นั้นมีความสามารถมากขึ้น แน่นอนว่างานระดับสูงก็อาจได้รับผลกระทบแต่จะไม่ถูกกำจัดหายไปทั้งหมด ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ตัวอย่างเช่น ในแวดวงกฎหมาย E-discovery Algorithms นั้นถูกนำมาใช้เป็นเวลาหลายปีแล้วเพื่อค้นหาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีต่างๆ ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายล้านดอลลาร์ หรือตัวซอฟต์แวร์เองก็มีความแม่นยำเช่นกัน มันสามารถหาเอกสารที่เกี่ยวข้องได้ถึง 95% เมื่อเปรียบเทียบกับ 51% จากการค้นหาโดยมนุษย์

คุณอาจคิดว่าผู้ช่วยทนายความที่เคยทำงานนี้จะเป็นอาชีพที่โบราณและตกยุคไปแล้ว ในทางตรงกันข้ามอาชีพนี้เติบโตอย่างรวดเร็วกว่ากำลังแรงงานโดยรวม โดยเพิ่มขึ้นกว่า 50,000 ตำแหน่งตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1990 บริษัทที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเอกสารสามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้ แต่ก็ยังมีงานอีกมากที่ยังต้องอาศัยการจัดการโดยผู้ช่วยทนายความ

ไอทีเป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง ด้วยงานหลากหลายฟังก์ชันนั้นถูกย้ายไปอยู่บนคลาวด์แล้ว ดังนั้นจึงมีงานบนเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องจัดการน้อยลง นั่นทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นของทีมไอทีประจำสำนักงาน อย่างไรก็ตามในปี 2015 การจ้างงานด้านไอทีนั้นเพิ่มขึ้นในทุกสาขาอาชีพและทุกอุตสาหกรรมยกเว้นน้ำมันและก๊าซ โดยเพิ่มขึ้นโดยรวม 3.1% หรือ 152,000 ตำแหน่ง

พนักงานไอทีอาจไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่ต่อสายไฟหรือดูพื้นที่ดิสก์อีกต่อไป แต่พวกเขาจะทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ บริการสตรีมมิ่ง และแอปพลิเคชันสำหรับ Internet of Things (IoT) อย่างไรก็ตามพวกเขายังจำเป็นต้องคอยดูแลเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ภายในออฟฟิศและทำให้ระบบต่างๆ เชื่อมต่อกันอย่างราบรื่น

ท้ายที่สุด

ประวัติศาสตร์ได้สอนเราว่าพนักงานจะเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเทคโนโลยี มันยังบอกเราอีกว่าบริษัทต่างๆ จะปรับกระบวนการและคนของเขาให้เข้ากับนวัตกรรม ถึงแม้ว่าระบบอัตโนมัติจะสามารถทำงานหลายอย่างได้ดีและจำเป็นต่อธุรกิจขนาดเล็ก แต่มันก็ไม่สามารถแทนที่ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์และหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์กับผู้มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าในอนาคตและลูกค้าปัจจุบันของคุณได้