5 สัญญาณที่บ่งบอกว่าธุรกิจของคุณกำลังเข้าสู่ยุคมืดแห่ง Big Data
แน่นอนว่า คุณต้องเก็บข้อมูลอยู่แล้ว แต่ข้อมูลที่คุณเก็บมานั้นถูกต้องสำหรับธุรกิจของคุณหรือไม่
แล้วคุณจัดการ Big Data ของคุณด้วยวิธีที่ดีที่สุดแล้วหรือยัง เราจะพูดถึง 5 สัญญาณที่บ่งบอกว่ากลยุทธ์ที่คุณใช้กับ Big Data ของคุณอยู่นั้นอาจล้าสมัยไปแล้ว และวิธีการเล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยให้บริษัทของคุณตามทันในยุคแห่งข้อมูล
1. คุณยังใช้โปรแกรมสเปรดชีตทำงานอยู่
เมื่อคุณจัดกลุ่มข้อมูลไว้อย่างเรียบร้อยดีแล้ว และสูตรต่างๆ ที่เรียนมาจากคณะบริหารก็ได้เอามาใช้เต็มที่ คุณได้จัดการข้อมูลตามเนื้อหาที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว แล้วการใช้สเปรดชีตมันผิดอย่างไรต้องยอมรับว่า แม้จะใช้สูตรแล้ว สเปรดชีตก็ยังต้องใช้เวลาเยอะในการสร้างและจัดการ และยังมีแนวโน้มจะเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย
จำเคสหนึ่งได้ไหม ที่พนักงานบัญชีของ Fidelity ลืมใส่เครื่องหมายลบหน้าตัวเลข 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ จึงกลายเป็นรายได้แทนที่จะเป็นรายจ่าย หรือความผิดพลาดในระบบสเปรดชีตที่ทำให้ Fannie Mae สูญไปกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ แล้วยังมีอีกเคสที่เกิดข้อผิดพลาดในการกรอกข้อมูล ในงานโอลิมปิกที่กรุงลอนดอน ปี พ.ศ. 2555 จบลงด้วยการขายบัตรงานแข่งว่ายน้ำเกินไปกว่า 10,000 ใบ ข้อผิดพลาดพวกนี้ล้วนเกิดขึ้นจริง และทั้งหมดล้วนมาจากความผิดพลาดโดยมนุษย์
นอกจากนี้ สเปรดชีตไม่สามารถอัพเดตตัวเองได้ ต้องใช้คนในการอัพเดตข้อมูล ทำให้ไม่สามารถแสดงผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้ ดังนั้น เมื่อบริษัทและฐานข้อมูลของคุณขยายใหญ่ขึ้น การอัพเดตข้อมูลในสเปรดชีตให้ทันต่อเหตุการณ์อยู่เสมอก็เป็นเรื่องน่าปวดหัวได้สิ่งที่คุณทำได้: ลองเปลี่ยนมาใช้ฐานข้อมูล NOSQL ซึ่งสามารถจัดการข้อมูลได้ทั้งแบบที่จัดระเบียบแล้ว (เช่น ตัวเลขทางบัญชีรูปแบบเดิม) และไม่ได้จัดระเบียบ (อีเมล วีดิโอ ไฟล์เสียง และอื่นๆ) และยังให้คุณเพิ่มหมวดหมู่ “นอกกรอบ” ได้โดยไม่ต้องสร้างอินเตอร์เฟซใหม่ และยังสามารถขยายฐานข้อมูลขึ้นได้อย่างง่ายดาย เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น
2. คุณไม่ได้ให้คุณค่ากับลูกค้าคนสำคัญมากพอ
เมื่อมีลูกค้า VIP ตกเครื่อง และพนักงานหน้าเคาน์เตอร์บอกให้เธอสแตนด์บายรอที่นั่งว่าง โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 75 เหรียญสหรัฐ
คุณคิดว่าลูกค้ารายนั้นจะกลับมาใช้บริการสายการบินนี้อีกไหม?
การรักษาฐานลูกค้าเก่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้กำไรเพิ่มขึ้น คุณจึงต้องมีเกณฑ์ชี้วัดลูกค้า VIP ของคุณ และเก็บข้อมูลนั้นไว้ เพื่อให้พนักงานทุกคนที่ต้องติดต่อลูกค้า สามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้
สิ่งที่คุณทำได้: ใช้สูตรง่ายๆ นี้ในการคำนวณหามูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า (CLV) ซึ่งต้องมีองค์ประกอบหลักสี่อย่าง ดังนี้
- กำไรขั้นต้น (GP)
- ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้า 1 คน (CAC)
- อัตราการใช้บริการซ้ำ (RR)
- อัตราส่วนลด (DR)
นำองค์ประกอบเหล่านี้มารวมกัน จะได้สูตรคำนวณ CLV ดังต่อไปนี้
(GP – CAC) * (RR / (1 + DR – RR)
จากนั้น เก็บข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับลูกค้า VIP ของคุณในแอปพลิเคชันบนระบบคลาวด์ และทำให้พนักงานทุกคนที่จำเป็นต้องใช้ สามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้
3. คุณไม่ได้นำ Big Data มาใช้พัฒนาการให ้บริการลูกค้า
ถ้าคุณกำลังขายสินค้าทางออนไลน์ ซึ่งทุกวันนี้ทุกบริษัทก็ทำกันหมด และคุณสามารถติดตามดูการเคลื่อนไหวในโลกดิจิทัลของลูกค้าได้ หากคุณนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในทางที่ถูก คุณอาจนำมาพัฒนาคุณภาพการให้บริการลูกค้าได้ ลองพิจารณาสถานการณ์นี้: ลูกค้ารายหนึ่งติดต่อ Amazon เพราะเครื่อง Kindle ที่เขาซื้อไปมีปัญหาซึ่งพนักงานสามารถดึงข้อมูลของลูกค้ามาใช้ได้อย่างง่ายดาย ทำให้สามารถหาโซลูชันที่เหมาะสมได้รวดเร็ว และปัญหาก็ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที ซึ่งถือเป็นการยืนยันอนาคตอันสดใสของธุรกิจ
สิ่งที่คุณทำได้: คุณอาจไม่ได้มีระบบแบบเดียวกับ Amazon แต่หากมีบริษัทผู้ช่วยในด้านนี้ที่เหมาะสม พวกเขาสามารถช่วยคุณสร้างระบบที่เก็บรวบรวม รักษา และวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าของคุณได้ และสร้างประสบการณ์ที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนให้มีความหมาย
4. คุณกำลังใช้สัญชาตญาณในการคาดการณ์การกระทำของลูกค้า ไม่ใช่ตัวเลข
คุณไม่ใช่คนเดียวที่ทำแบบนั้นหรอก แต่ก็อาจเป็นคนเดียวในเร็วๆ นี้ เพราะจากแบบสำรวจล่าสุด มีผู้บริหารเพียง 29% เท่านั้นที่รายงานว่าพวกเขาใช้การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ แต่ 66% ยอมรับว่าพวกเขาอาจสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดได้ หากไม่เริ่มปรับเปลี่ยนมาใช้การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์
การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ทำอะไรได้บ้าง มันสามารถสอนให้รถยนต์ทราบได้ว่าใครขับรถอยู่ เพื่อป้องกันการโจรกรรม หรือสามารถใช้เซนเซอร์ที่พื้นเพื่อระบุว่าใครเดินเข้ามาในห้อง หรือในพื้นที่จัดแสดงสินค้าในร้านค้า
สิ่งที่คุณทำได้: มีเครื่องมือเชิงคาดการณ์มากมายที่ช่วยให้คุณลดค่าใช้จ่ายได้ โดยไม่ต้องลงทุนเยอะ ขึ้นอยู่กับธุรกิจของคุณ
5. คุณกำลังจ้างพนักงานด้วยความต้องการในปัจจุบัน ไม่ใช่ในอนาคต
บริษัทของคุณจะไม่เหมือนเดิมอยู่แล้วในอีกห้าปีข้างหน้า และตัวเลือกในการเลือกพนักงานก็เช่นกัน ลองดูตัวอย่างจาก Harvard Business Review นี้: บริษัทหนึ่งมีวิศวกรอาวุโสระดับเริ่มต้นอยู่จำนวนมาก แต่ระดับอื่นๆ กลับมีน้อย ในขณะเดียวกัน ข้อมูลจากภายนอกชี้ให้เห็นว่า ในอนาคตอาจเกิดการขาดแคลนวิศวกรที่เข้ามาในระบบแรงงานได้ บริษัทนี้ แทนที่จะมองข้ามปัญหาที่ยังไม่เกิดขึ้นไปก่อน กลับเลือกเปิดรับวิศวกรระดับกลางกว่า 10,000 คนต่อปี เพื่อการันตีอนาคตของบริษัท
สิ่งที่คุณทำได้: ติดตามตัวชี้วัดด้าน HR อยู่เสมอ (เช่น อัตราการแนะนำพนักงานของแต่ละแผนก อัตราการลาออกของแต่ละแผนก อายุเฉลี่ยของพนักงาน และการเกษียณอายุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต) โดยใช้ Big Data ของบริษัท เพื่อให้เท่าทันต่อแนวโน้มสำคัญอยู่เสมอ
ถึงเวลาแล้วที่จะทำให้ข้อมูลของคุณมีประสิทธิภาพ และมีประโยชน์กับบริษัท
เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อสร้างผลกระทบอันยิ่งใหญ่ให้กับธุรกิจของคุณ
ที่มา: RICOH USA
News & Events
Keep up to date
- 09ธ.ค.
ลงทะเบียนฟรี งานสัมมนาออนไลน์จากริโก้ Beyond the Limits: Cloud-Powered Security, Networks, and Data Analytics
- 06ธ.ค.
ริโก้ประเทศไทยได้รับโล่ผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองเครื่องหมายฉลากเขียวของผลิตภัณฑ์เครื่องถ่ายเอกสารต่อเนื่องมากกว่า 20 ปี พร้อมเกียรติบัตรผู้ได้รับการรับรองฉลากเขียวประจำปี จากสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI)
- 04ธ.ค.
ริโก้ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน "นายจ้างยอดเยี่ยมแห่งเอเชียแปซิฟิก ประจำปี 2025" โดย Financial Times
- 14พ.ย.
เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชัน IM C320F จากริโก้คว้ารางวัล Pick Award ประจำปี 2567 จาก Keypoint Intelligence