ความยั่งยืนและกำลังคน: ความจำเป็นเชิงกลยุทธ์สำหรับอนาคต

04 มี.ค. 2568

“ในบทบาทของฉัน ฉันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์ของตลาด (market landscape) ความยั่งยืนที่เคยเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของการพัฒนาธุรกิจกลายเป็นปัจจัยสำคัญ”  แองจี ทินโต-ฮามูด ผู้จัดการฝ่ายการตลาดความยั่งยืน ริโก้ อเมริกาเหนือ

ในปี 2022 บริษัท 98% ในดัชนี S&P 500 ได้เผยแพร่รายงานด้านความยั่งยืน การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นข้อเรียกร้องที่จำเป็น

แม้ว่าหลายองค์กรจะใช้ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เป็นตัวชี้วัดหลักของความยั่งยืน แต่ภาพรวมที่แท้จริงนั้นกว้างกว่ามาก การรักษาลูกค้า การดำเนินธุรกิจ และที่สำคัญที่สุดคือพนักงาน ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ ซึ่งผสมผสานผู้คน โลก และความเจริญรุ่งเรืองร่วมไว้ด้วยกัน

จากมุมมองของฉัน จุดเชื่อมต่อระหว่างความยั่งยืนและการบริหารกำลังคนเป็นประเด็นสำคัญที่สุดขององค์กร บริษัทที่นำแนวคิดความยั่งยืนมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงาน ดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ และสร้างผลกำไรในระยะยาว

กรณีศึกษาด้านธุรกิจเกี่ยวกับความยั่งยืน

ก่อนที่จะพูดถึงความยั่งยืนในบริบทของกำลังคน สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจถึงความจำเป็นในระดับธุรกิจโดยรวม ปัจจุบัน ลูกค้า พนักงาน และบริษัทต่างคาดหวังให้มีแผนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน การมีแผนดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง นอกจากนี้ องค์กรยังต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและระเบียบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่พยายามเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ซึ่งยิ่งทำให้การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบกลายเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากขึ้น

ความคาดหวังของผู้บริโภค

จากการสำรวจ PwC 2024 Voice of the Consumer Survey พบว่า ลูกค้าพร้อมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 9.7% สำหรับสินค้าหรือบริการที่ยั่งยืน เนื่องจากเกือบ 85% ของผู้บริโภครายงานว่าพวกเขาได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในชีวิตประจำวัน

มุมมองของพนักงาน

การสำรวจ Deloitte’s Gen Z and Millennial Survey 2024 ระบุว่า 86% ของคนเจเนอเรชัน Z และ 89% ของคนรุ่น Millennials เชื่อว่าการมี “เป้าหมาย” ในการทำงานเป็นปัจจัยสำคัญต่อความพึงพอใจและความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา นอกจากนี้ 44% และ 40% ตามลำดับ ได้ปฏิเสธข้อเสนองานจากนายจ้างที่ขัดกับหลักจริยธรรมและความเชื่อส่วนบุคคลของพวกเขา

สภาพแวดล้อมด้านการกำกับดูแล

รัฐบาลทั่วโลกกำลังออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ตัวอย่างเช่น ข้อตกลงสีเขียวของสหภาพยุโรป (EU Green Deal) ที่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 55% ภายในปี 2030 และ ในอเมริกาเหนือ สหรัฐฯ ได้ออกกฎหมาย Climate Corporate Data Accountability Act (CCDAA) ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อสาธารณะตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป ส่วนแคนาดาก็มีกฎหมาย Net-Zero Emissions Accountability Act ที่กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050

ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนสามารถช่วยลดต้นทุนได้ผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รายงานจาก World Economic Forum ระบุว่าการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสมสามารถช่วยให้ทั่วโลกประหยัดต้นทุนได้สูงถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี

ผลกระทบต่อแรงงาน

โครงการด้านความยั่งยืนมีอิทธิพลอย่างมากต่อโครงสร้างแรงงาน โดยประเด็นสำคัญที่ความยั่งยืนเชื่อมโยงกับการมีส่วนร่วมและประสิทธิภาพของพนักงานมีดังนี้

การดึงดูดและการรักษาบุคลากร

ความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืนสามารถเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสรรหาบุคลากร รายงานจาก LinkedIn ในปี 2022 ระบุว่าบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมีจำนวนใบสมัครงานเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับบริษัทที่ไม่ได้ให้ความสำคัญ พนักงานโดยเฉพาะคนรุ่น Millennials และ Gen Z ให้ความสำคัญกับการทำงานในองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างแท้จริงมากขึ้น

การมีส่วนร่วมของพนักงาน

การให้พนักงานมีส่วนร่วมในโครงการด้านความยั่งยืนช่วยเสริมสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและความภาคภูมิใจ เมื่อทีมงานเห็นว่าองค์กรของตนมีส่วนร่วมในการสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจและความร่วมมือในองค์กรได้มากขึ้น การศึกษาจาก Harvard Business Review พบว่าบริษัทที่มีคะแนนการมีส่วนร่วมของพนักงานสูง มีผลประกอบ Earnings per Share ดีกว่าคู่แข่งถึง 147%

การพัฒนาทักษะ

การเปลี่ยนแปลงสู่แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนต้องอาศัยทักษะและความสามารถใหม่ๆ องค์กรที่ลงทุนในโปรแกรมฝึกอบรมเกี่ยวกับความยั่งยืนไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มทักษะให้กับพนักงาน แต่ยังสร้างวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมอีกด้วย World Economic Forum ได้คาดการณ์ว่า ภายในปี 2025 อาจมีตำแหน่งงานหายไปถึง 85 ล้านตำแหน่งเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืน แต่ในขณะเดียวกัน จะมีบทบาทงานใหม่เกิดขึ้นถึง 97 ล้านตำแหน่ง ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง

สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมักสอดคล้องกับโครงการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน แม้ว่านโยบายให้พนักงานกลับเข้าทำงานในออฟฟิศจะเพิ่มมากขึ้น แต่รายงานจาก Global Workplace Analytics ระบุว่าหาก 30% ของแรงงานทำงานจากที่บ้านเป็นประจำ จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 54 ล้านตันต่อปีนอกจากนี้ สถานที่ทำงานที่ให้ความสำคัญกับแสงธรรมชาติ พื้นที่สีเขียว และการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถสร้างบรรยากาศการทำงานที่น่าอยู่ ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของพนักงาน

ความท้าทายและข้อควรพิจารณาของกลยุทธ์ความยั่งยืน

แม้ว่าประโยชน์ของการผสานความยั่งยืนเข้ากับการจัดการกำลังคนจะชัดเจน แต่ก็ยังมีอุปสรรคที่ต้องเผชิญ องค์กรจำเป็นต้องบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการความยั่งยืนได้รับการยอมรับในทุกระดับ ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารที่ชัดเจน ความมุ่งมั่นของผู้นำ และการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การวัดผลกระทบของโครงการความยั่งยืนต่อความผูกพันของพนักงานและผลประกอบการโดยรวมอาจเป็นเรื่องท้าทาย บริษัทควรพัฒนาตัวชี้วัดที่เชื่อมโยงความพยายามด้านความยั่งยืนกับผลลัพธ์ของพนักงาน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้

อนาคตที่ยั่งยืน

ความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงประเด็นรองอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นองค์ประกอบหลักของการบริหารธุรกิจเชิงกลยุทธ์ องค์กรที่สามารถผสานความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์แรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะไม่เพียงแต่เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ในขณะที่โลกธุรกิจยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง การปรับแนวทางความยั่งยืนให้สอดคล้องกับแรงงานจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ การยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่ความรับผิดชอบ แต่ยังเป็นโอกาสสำหรับการเติบโตที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

Sustainability and the workforce

ที่มา: RICOH USA